✿ Diary

❤ คุณค่าของเวลา

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 10 ปีมีค่าขนาดไหน ถามคู่แต่งงานที่เพิ่งหย่าร้างกัน

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 4 ปีมีค่าขนาดไหน ถามนิสิตนักศึกษาที่เพิ่งรับปริญญาจากมหาวิทยาลัย

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 ปีมีค่าขนาดไหน ถามนักเรียนที่สอบไล่ตก

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 9 เดือนมีค่าขนาดไหน ถามแม่ที่เพิ่งคลอดลูก

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 เดือนมีค่าขนาดไหน ถามมารดาที่คลอดบุตรยังไม่ครบกำหนด

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 อาทิตย์มีค่าขนาดไหน ถามบรรณาธิการหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 ชั่วโมงมีค่าขนาดไหน ถามคนรักที่รอพบกัน

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 นาฑีมีค่าขนาดไหน ถามคนที่พลาดรถไฟ รถประจำทาง หรือเรือบิน

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 วินาฑีมีค่าขนาดไหน ถามคนที่รอดตายจากอุบัติเหตุอย่างหวุดหวิด

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลาเสี้ยวหนึ่งของวินาฑีมีค่าขนาดไหน ถามนักกีฬาโอลิมปิคที่ชนะเหรียญเงิน

ถ้าท่านอยากรู้ว่ามิตรภาพมีค่าขนาดไหน เสียเพื่อนสักคนหนึ่ง

เวลาไม่เคยรอใคร เมื่อมันผ่านไปแล้ว มันจะไม่กลับมาอีก จงใช้เวลาของท่านทุกขณะอย่างดีที่สุด

ท่านจะรู้คุณค่าของเวลาเมื่อท่านแบ่งปันกับคนที่พิเศษสุดในชีวิตของท่าน 


ความรัก กับ ความผูกพัน

ความรัก..กับ ความผูกพัน
หน้าตาคล้ายกัน
แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ ...

รู้สึกว่า .. คิดถึง .. แล้วมาหา คือ .... รัก
รู้สึกว่า .. เคยมาหา .. เลยมาหา คือ .. ผูกพัน

รู้สึกว่า .. หิว ....... อยากเอามาฝาก .. รัก
รู้สึกว่า .. อิ่มแล้ว .. อยากเอามาฝาก คือ .. ผูกพัน

รู้สึกว่า .. อยากให้เวลากันและกัน คือ ......... รัก
รู้สึกว่า .. อยากให้เขาให้เวลาเรา คือ .. ผูกพัน

รู้สึกว่า .. หงุดหงิดคือทำให้อีกคนไม่สบายใจ คือ .. รัก
รู้สึกว่า .. โกรธเพื่อทำให้อีกคนสำนึกบ้าง คือ .. ผูกพัน

รู้สึกว่า .... ไม่มีนาทีไหนไม่คิดถึง คือ .. รัก
รู้สึกว่า .. นาทีไหนที่ว่างจะคิดถึง คือ .... ผูกพัน

ขอบคุณเหลือเกิน .... ความผูกพัน .. ที่ทำให้รัก
ขอบคุณเหลือเกิน .. รักที่เป็นมากกว่า .. ความผูกพัน

....... เคยไหมรักใครคนหนึ่ง ด้วยความรู้สึกว่า ....
เคยผูกพันเหมือนเคยรักกัน แล้วพลัดพราก
ต้องมาตามหากันเป็นแรมปี
ถ้าเคยรู้สึกอย่างนี้
ยามที่มองแววตาใครคนนั้น
แล้วรู้สึกอยากอยู่ข้าง ๆ
เพื่อคอยกางแขนปกป้องและดูแลไปตลอดชีวิต
ความรู้สึกนั้น .. เรียกว่า รักและผูกพัน
ความรู้สึกที่ .. มิอาจพรากจากกัน ได้อีก
.......แม้เพียงหนึ่งเสี้ยววินาที



❤ เล่นคอมอย่างไรไม่ให้ตาเสีย...

...เล่นคอมอย่างไรไม่ให้ตาเสีย...
โดย นพ.ณวัฒน์ วัฒนชัย จักษุแพทย์

          โดยทั่วไป จอคอมในปัจจุบันเป็น low radiation ครับ ไม่ค่อยมีผลถึงกับ เป็นอันตรายร้ายแรงอะไร อย่างมากก็เคืองแสบเท่านั้น ควรจะปรับ contrast ลงให้ต่ำหน่อยครับ เวลาที่เล่นเนทแต่ละครั้งนั้น ระบุไม่ได้ 100% สำหรับทุกคนหรอกครับ เอาเป็นว่า ผมจะให้ข้อมูลคร่าวๆละกัน

- การเล่นคอม หรือการอ่านหนังสือ ระยะประมาณ 1 ฟุต ควรเล่นติดต่อกันแต่ละครั้งไม่มากกว่า 45-60 นาที ควรมีช่วงพักไปมองอะไรที่ไกลตาออกไป (มากกว่า 6 ฟุต - ก็คงต้องเป็นนอกหน้าต่าง) สัก 5-10 นาที แล้วค่อยกลับมานั่งหน้าจอกันใหม่ เนื่องจากการมองระยะใกล้นานๆ การโฟกัสตาต้องใช้กล้ามเนื้อตา มากกว่าการมองไกล ถ้ามองนานๆ ในบางคนอาจมีการเกร็งค้าง ของกล้ามเนื้อตา ทำให้มองเห็นระยะไกลมัวไปได้

- ถ้าจอเป็นแบบเก่า หรือยังรู้สึกว่าจ้า เคืองตามาก ควรใช้แผ่นกรอง หรือใช้จอ low radiation

- เมื่อเรานั่งอ่าน หรือนั่งหน้าคอมนานๆ ตาเราจะกระพริบด้วยความถี่น้อยกว่าปกติ (การกระพริบตา ปกติจะประมาณ 1 ครั้งทุก 5 วินาที ซึ่งเป็นการเอาน้ำตามาเคลือบด้านหน้าของกระจกตาดำ ให้คงความชื้นเสมอ และเป็นการล้างเอาสิ่งสกปรกออก) ดังนั้น ในผู้ที่มีความเสี่ยง เช่น มีต้อเนื้อ ต้อลม หรือเป็นโรคตาแห้ง น้ำตาขาดคุณภาพ ก็ควรแก้ไขเสียครับ การจัดวางคอม ควรทำให้ถูกท่าทาง คือวางจอในระดับต่ำกว่า สายตาเล็กน้อย และไม่ต่ำไปกว่าระดับราวนม (หมายถึงระดับ ของกึ่งกลางจอภาพนะครับ) ในขณะที่คีย์บอร์ด ควรอยู่ระดับราวนม ถึงระดับเอว

- สีที่เลือกใช้ ไม่ค่อยมีผลมากครับ แต่ถ้าจะให้แนะนำก็เป็นสีเขียวเข้ม กะสีฟ้า-น้ำเงิน ที่ไม่สดนัก

- ถ้ารู้สีกล้า ปวดตา ควรพักทันที อย่าโหมจนเกินไป